วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558
ดื่มกาแฟทุกวัน ทำความสะอาดเส้นเลือด?
ทีมวิจัยทางการแพทย์จากเกาหลีใต้ เผยแพร่ผลการวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า การดื่มกาแฟในระดับปานกลาง ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปทุกวัน อาจส่งผลให้เส้นเลือดของคนเราสะอาดขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจอันเนื่องจากเส้นเลือดอุดตันลงได้
งานวิจัยดังกล่าวใช้วิธีการศึกษากลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงที่เป็นพนักงานประจำมากกว่า 25,000 คน ซึ่งเป็นผู้ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และแต่ละไม่มีสัญญาณแสดงอาการโรคหัวใจใดๆ ออกมาภายนอก แต่จากการสแกนพบว่า 1 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่างถูกสแกนพบภาวะแคลเซียมเกาะผนังเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการอุดตันของเส้นเลือดอยู่แล้ว
หลังจากนั้นทีมวิจัยนำเอาผลการสแกนมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมการดื่มกาแฟของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอื่นๆ ประกอบด้วยอาทิ การสูบบุหรี่, การออกกำลังกายและประวัติการป่วยเป็นโรคหัวใจของครอบครัว) พบว่า พนักงานที่ดื่มกาแฟในปริมาณปานกลาง ระหว่าง 3-5 ถ้วยต่อวัน มีแนวโน้มมีสัญญาณซึ่งแสดงถึงอาการเบื้องต้นของโรคหัวใจน้อยลง เพราะมีแนวโน้มที่จะพบภาวะแคลเซียมเกาะผนังเส้นเลือดหัวใจน้อยกว่ากลุ่มตัวอย่างซึ่งดื่มกาแฟมากกว่า หรือไม่ดื่มกาแฟเลย
หลังจากนั้นทีมวิจัยนำเอาผลการสแกนมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมการดื่มกาแฟของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอื่นๆ ประกอบด้วยอาทิ การสูบบุหรี่, การออกกำลังกายและประวัติการป่วยเป็นโรคหัวใจของครอบครัว) พบว่า พนักงานที่ดื่มกาแฟในปริมาณปานกลาง ระหว่าง 3-5 ถ้วยต่อวัน มีแนวโน้มมีสัญญาณซึ่งแสดงถึงอาการเบื้องต้นของโรคหัวใจน้อยลง เพราะมีแนวโน้มที่จะพบภาวะแคลเซียมเกาะผนังเส้นเลือดหัวใจน้อยกว่ากลุ่มตัวอย่างซึ่งดื่มกาแฟมากกว่า หรือไม่ดื่มกาแฟเลย
อย่างไรก็ตามทีมวิจัยยอมรับว่ายังคงจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง เพื่อยืนยันผลการศึกษาครั้งนี้และค้นหาคำอธิบายว่า กาแฟ เชื่อมโยงกับภาวะแคลเซียมเกาะผนังเส้นเลือดหัวใจอย่างไร
งานวิจัยครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอีกครั้งถึงผลกระทบของกาแฟต่อสุขภาพของหัวใจ ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า การดื่มกาแฟเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจ ด้วยการไปเพิ่มคอเรสเตอรอลและแรงดันเลือด
แต่ก็มีงานวิจัยบางชิ้นก่อนหน้านี้เช่นกันที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มกาแฟช่วยป้องกันโรคหัวใจในบางลักษณะได้
ที่มา http://campus.sanook.com/1376849/
พริก
หนึ่งเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาหารไทย คือ รสเผ็ดจากพริกหรือเครื่องเทศที่ใช้ นอกจากจะเสริมให้อร่อยลิ้นแล้ว ถ้ารับประทานรสเผ็ดที่เหมาะสมย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพ
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าว่า การกินเผ็ดแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้นั้นจะนำความเดือดร้อนมาให้ได้ เช่น กินเผ็ดจนเป็นโรคกระเพาะ หรือกินเผ็ดจัดในขณะท้องว่าง แถมยังกินผิดเวลา อย่างนี้เผ็ดก็เป็นโทษได้ ส่วนผู้ที่กินเผ็ดอย่างเข้าใจนั้นนอกจากจะได้เรื่องความอร่อยลิ้นแล้วยังได้อานิสงส์จากความเผ็ดในแง่สุขภาพอีกหลายข้อ ในวันนี้จะขอนำประโยชน์เผ็ดจาก “พริก” มาเล่าให้ฟังเป็นข้อๆ
เริ่มจากพริกช่วยป้องกันหัวใจ ด้วยวิตามินสำคัญ คือ วิตามินเอ, วิตามินซี, แคลเซียม และธาตุเหล็กมีมากในพริกสดและพริกแห้ง ถ้าห่วงเรื่องการเผ็ดมากให้ไปรับประทานพริกไทยหรือพริกหวานที่ใส่ในสลัดก็ยังได้
ต่อมาช่วยขยายหลอดลม มีเคมีที่ช่วยขับเสมหะและเปิดคอให้โล่งขึ้น ในคนที่เป็นภูมิแพ้ การกินเผ็ดจะช่วยได้ดีมาก หากเป็นเด็กอาจเพียงแค่พริกไทยหรือใช้หัวหอมที่เผ็ดน้อยพอ และสำหรับเด็กน้อยกับผู้สูงวัยขอให้ระวังอย่าให้สำลักพริกด้วย
ทั้งยังช่วยไล่เซลล์มะเร็ง แค่พริกป่นง่ายๆ อย่างนี้ก็ช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และมะเร็งผิวหนังกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย เพราะพริกช่วยล้างพิษ (Detox) ให้กับร่างกาย ลำพังใช้พริกป่นในพวงเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวก็ช่วยได้แล้ว แต่ถ้ายิ่งได้รับประทานพริกสดด้วย อย่างน้ำปลาพริกขี้หนูสดก็ยิ่งช่วยได้ดี
นอกจากนี้ความเผ็ดของพริกช่วยลดไขมัน ป้องกันลิ่มเลือดจับตัว และช่วยคุมน้ำหนัก เพราะทำหน้าที่เผาผลาญพลังงานให้ด้วย ทั้งนี้จากการศึกษาในอินเดียพบว่า อาสาสมัครที่รับประทานพริกนั้นให้ผลในการลดลิ่มเลือดอุดตันตามหลอดเลือดได้ อีกทั้งปลอดภัยจากสารพิษตกค้างไม่เหมือนกับกินยาด้วย
แล้วยังสามารถลดปวดด้วยกรดเผ็ด ที่เรียกว่า “แคปไซซิน” ในพริก รวมถึงสาร “เคอคิวมิน” ในเครื่องเทศอย่างขมิ้นที่ช่วยดับไฟอักเสบได้ จึงเหมาะกับผู้มีอาการปวดไปจนถึงแสบร้อนจากการอักเสบตามที่ต่างๆ อาทิ โรคเริม, งูสวัดไปจนถึงปวดอักเสบตามข้ออย่างรูมาตอยด์, ข้อเสื่อม และอาการปวดฟกช้ำทั้งหลาย
พริกเผ็ดยังช่วยคลายเครียด พริกเป็นอาหารร่าเริงที่แท้จริงเพราะสร้าง “เอ็นดอฟิน” เป็นเคมีสุขที่ทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาหลั่งออกมาภายหลังจากกินเผ็ดไปไม่นาน ลองสังเกตอาการหลังทานส้มตำพริกสิบเม็ดได้ว่าเหงื่อออกแล้วสบายตัวสดชื่นดี
และสุดท้ายช่วยเรียกน้ำย่อยเจริญอาหาร ผู้ใหญ่มักเบื่ออาหารเมื่อถึงวัยหนึ่ง ดังนั้นการได้รับประทานรสเผ็ดจะช่วยสะกิดต่อมรับรสให้รู้โอชะได้ดีขึ้น นอกจากรสขมแล้วเผ็ดเป็นรสที่ช่วยกระตุ้นดอกลิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง.
ข้อมูลจาก : http://www.dailynews.co.th/
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558
สระว่ายน้ำ
ประเภทของสระว่ายน้ำ มี 2 ประเภท
1. Over Flow คือ การนำน้ำในสระไปบำบัดฆ่าเชื้อโรค โดยให้น้ำล้นออกมาขอบสระแล้วผ่านรางรอบ ๆ ของขอบสระไปรวมที่ Surge Tank แล้วใช้ปั๊มน้ำดูดเข้าผ่านเครื่องกรอง (Filter) กลับสู่สระอีกครั้ง
2. Skimmer คือ การนำน้ำในสระไปบำบัด โดยผ่านช่องของ Skimmer Box เข้าปั๊มน้ำและ Filter โดยตรงและส่งกลับมายังสระว่ายน้ำอีกครั้ง
1. ปั๊ม (Pump) เพื่อดูดน้ำจากสระ เพื่อนำมาเข้าเครื่องกรอง (Filter Tank) ซึ่งมีหลายราคา
2. เครื่องกรอง (Filter) มีหน้าที่กรองสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง จากน้ำในสระ มีหลายชนิด เช่น
3. นอกจากนั้นจะเป็นระบบการบำบัดฆ่าเชื้อโรคในน้ำ จะมีราคาแตกต่างกันไปตามความสะดวก ตั้งแต่ระบบฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน ซึ่งต้องวัดค่า PH ด้วยเครื่องวัดค่าเทียบสีและต้องทำทุกวัน แล้วปรับค่า PH ด้วยการใส่กรดและด่าง ด้วยการเทลงในน้ำเอง แล้ววัดค่าดูอีกครั้ง ผลสุดท้ายจะเกิดความเบื่อ และต้องจ้างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษา ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อเดือนค่อนข้างสูง ต่อมามีการพัฒนาด้วยการจ่ายคลอรีนด้วยปั๊มอัตโนมัติ โดยมี Censor Head เป็นตัววัดและสั่งจ่ายคลอรีนอย่างแม่นยำกว่าและต่อมาได้มีการพัฒนาด้วยการปรับค่า PH ด้วย Censor Head แล้วสั่งปั๊มทำงานอัตโนมัติสั่งจ่ายปรับค่า PH การทำความสะอาดพื้นสระว่ายน้ำก็ใช้ระบบ Vacuum เหมือนเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป หรือใช้ Robot ทำงานเอง หรือใช้ Floor Selfหรือใช้ Floor Self Cleaning ในการทำความสะอาดพื้นสระ
ระบบฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ (Pool Water Hygiene)
ระบบบำบัดน้ำในสระว่ายน้ำที่ใช้อยู่ปัจจุบันนี้ ประกอบด้วย 3 ระบบ คือ
1.ระบบน้ำเกลือ (Salt Water) เป็นระบบที่ดีที่สุด โดยการใช้น้ำเกลือธรรมชาติ (NaCI = Sodium Chloride) มาผ่านขบวนการ Electrolytic Process ของเครื่อง Salt Chlorinator มาทำการฆ่าเชื้อโรคในน้ำโดยเกิด Sodium Hypochloriteและ Sodium Chloride (NaCl) ซึ่งเป็นเกลือธรรมชาติดั้งเดิม และน้ำเกลือเมื่อใช้ฆ่าเชื้อโรคแล้วจะไม่สูญหายไปไหน จะเติมก็ต่อเมื่อมีการทำ Back Wash คือ ล้างเครื่องกรอง หรือฝนตกจนน้ำล้นออกจากสระว่ายน้ำ ดังนั้นการเติมเกลือจะเติมประมาณปีละ 2-3 ครั้ง และน้ำเกลือจะมีความเข้มข้นเพียง 0.3% เท่านั้นเอง (ประมาณครึ่งหนึ่งของน้ำตาคนเรา)ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีสระว่ายน้ำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้นำด้านอุปกรณ์ Swimming Poolจำนวน 90% ใช้ระบบน้ำเกลือ และ 10% เป็นสระว่ายน้ำรุ่นเก่าใช้ระบบคลอรีน ซึ่งรอการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบน้ำเกลือระบบน้ำเกลือ นับเป็นระบบที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ดีอีกด้วย (Mild Salt Water HasTherapeutic Benefits) แต่อย่างไรก็แล้วแต่ระบบเกลือก็ยังต้องดูแลค่า PH ความเป็นกรดและความเป็นด่างของน้ำในสระซึ่งจะมีความเป็นด่างเพิ่มขึ้นเท่านั้น จะไม่มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น จากผลของการใช้น้ำเกลือผ่าน Electrolytic Process
2. ระบบคลอรีน เป็นตัวฆ่าเชื้อโรคในน้ำ โดยอาจนำคลอรีนมาฆ่าเชื้อในรูปของ ของเหลว(Liquid Chlorine)หรือเป็นเม็ด(Tabletes) หรืออัดมาเป็นก้อน หรือเป็นผง (Powder) แล้วแต่บริษัทจะผลิตขึ้นมาโดยใส่ลงในสระว่ายน้ำ ด้วยการโรยผงคลอรีน เป็นผงคลอรีนเหลวเทลงในสระ หรือเป็นก้อนคลอรีนใส่ใน Skimmer เพื่อให้ค่อย ๆ ละลายในสระว่ายน้ำ ตัวคลอรีนจะเปลี่ยนเป็นตัวฆ่าเชื้อโรค โดยจะทำงานหรือฆ่าเชื้อโรคได้ก็ต่อเมื่อน้ำในสระมีค่า PH อยู่ระหว่าง 7.2-7.8ซึ่งถ้าหากน้ำ ในสระมีค่าความเป็นด่าง ก็ต้องเติมกรดลงไป แล้วแต่บริษัทจะใส่กรดอะไร ค่าความเป็นด่างจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อขี้เหงื่อ และขี้ไคลของผู้ที่ลงไปเล่นในสระว่ายน้ำ (Bather) ดังนั้นก่อนลงสระว่ายน้ำ จึงต้องอาบน้ำล้างตัวก่อนลงสระ หรืออาจจะเกิดเศษใบไม้ใบหญ้หรือฝุ่นละออง ที่ลงไปในสระว่ายน้ำ แต่ถ้าน้ำในสระมีค่า PH ต่ำลง คือมีความเป็นกรดสูงขึ้น ก็ต้องเติมสารที่เป็นด่างเพื่อปรับค่า PH อาจเป็น Buffer หรือ Soda ash ก็ได้
ดังนั้นจึงต้องมีการวัดค่า PH ของน้ำในสระทุก ๆ วัน แต่ปัจจุบันนี้มีเครื่องวัดค่า PH ที่ทำงานโดยอัตโนมัติสามารถปั๊มกรดหรือปั๊มด่างลงไปในสระว่ายน้ำ เพื่อปรับค่า PH มิฉะนั้นไม่ว่าจะใส่คลอรีนมากขนาดไหน คลอรีนก็จะไม่ทำงาน มีแต่จะเหม็นกลิ่นคลอรีนเพิ่มขึ้น
ข้อควรระวัง คลอรีนเป็นสารที่อันตรายต่อร่างกายที่ต้องระวังในการดูแล เพราะเป็นสารเคมี ซึ่งอาจจะทำอันตรายต่อร่างกายและผิวหนังได้ เมื่อได้กลิ่นจะรู้สึกแสบจมูก ถ้าเข้าตาต้องรีบล้างออกหรือพบแพทย์ แต่ถ้าว่ายน้ำนาน ๆ จะทำให้เส้นผมแห้งกรอบและผิวแห้งกร้านได้ คลอรีนต้องเติมทุกวัน เพราะคลอรีนจะใช้ในการย่อยเศษผงใบไม้หรือขี้ไคลสิ่งสกปรกจากร่างกาย และจะถูกทำลายโดยรังสี UV (Ultra Violet) ในแสงแดด และความร้อน ดังนั้นจึงนิยมใส่คลอรีนตอนกลางคืนหลังจากไม่มีคนเล่นน้ำแล้ว เพื่อป้องกันการสิ้นเปลืองของคลอรีน
3. ระบบ Ozone Treatment โดยการผลิตก๊าซโอโซน (Ozone Gas) จากเครื่องอัดอากาศ (O2) ในอากาศให้กลายเป็นก๊าซโอโซน และสัมผัส (Contact) กับน้ำโดยตรง เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็นตัวฆ่าเชื้อโรคที่มีศักยภาพสูงมากใช้ในการดูแลน้ำของระบบ Spa หรือสระว่ายน้ำ โอโซนจะไม่มีสารตกค้าง แต่เมื่อน้ำผ่านโอโซนถูกฆ่าเชื้อโรคเรียบร้อยแล้วน้ำที่สะอาดจะลงสู่สระว่ายน้ำ และในขณะที่น้ำอยู่ในสระประมาณ 3-6 ชั่วโมงนั้น ไม่มีอะไรไปฆ่าเชื้อโรค จนกว่าน้ำกลับมาผ่านโอโซนอีกครั้งดังนั้น เมื่อมีคนนำเชื้อโรคลงในสระว่ายน้ำ ไม่ว่าเชื้อโรคอะไรเชื้อนั้นจะอยู่ในสระปนกับน้ำ ทำให้เกิดโรคติดต่อแก่ผู้เล่นน้ำในสระเดียวกันได้ ซึ่งเชื้อโรคนั้นจะต้องผ่านเครื่องฉีดโอโซนอีกครั้ง เชื้อโรคจึงจะถูกทำลาย ซึ่งบางประเทศจึงมีกฎหมายสำหรับสระว่ายน้ำสาธารณะ (Public Swimming Pool) ห้ามใช้ระบบโอโซนอย่างเดียว ต้องใช้ควบคู่กับระบบอื่น (เช่นใช้คลอรีนหรือน้ำเกลือ) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ
ที่มาPoolandFresh
1. Over Flow คือ การนำน้ำในสระไปบำบัดฆ่าเชื้อโรค โดยให้น้ำล้นออกมาขอบสระแล้วผ่านรางรอบ ๆ ของขอบสระไปรวมที่ Surge Tank แล้วใช้ปั๊มน้ำดูดเข้าผ่านเครื่องกรอง (Filter) กลับสู่สระอีกครั้ง
ข้อดี ข้อเสีย | - ทำให้ดูแผ่นน้ำตึงขอบสระสวย ซึ่งนิยมใช้ในประเทศไทย - ทำให้เกิดการหมักหมมของเศษสิ่งสกปรกบริเวณรางน้ำของขอบสระ ซึ่งมักจะใช้ Granate Grill ปิดเอาไว้ หรือใช้กรวดเป็นตัวปิดความสกปรก เมื่อคุ้ยกรวดออกจะเห็นเหมือนท่อระบายน้ำ - ต้องมี Surge Tank เป็นการเพิ่มความยุ่งยากในการก่อสร้าง |
ข้อดี ข้อเสีย | - ทำให้น้ำไหลผ่านระบบด้วยระยะทางสั้นกว่า เพราะไม่ต้องผ่าน Surge Tank ทำให้ใช้น้ำปริมาตรที่น้อยกว่าระบบน้ำล้น - ไม่เกิดการหมักหมมระหว่างทางเดินของน้ำ - ระดับน้ำจะต่ำกว่าขอบสระว่ายน้ำประมาณ 4 -10 ซม. จะไม่ดูแผ่นน้ำตึงปิดขอบสระ เหมือนระบบน้ำล้น การไหลกลับของน้ำสู่สระว่ายน้ำทั้ง 2 แบบ อาจะเป็น Floor Return หรือ Wall Return ก็ได้ หรือบางครั้งก็ทำเป็นน้ำตก หรือ Water Blade หรือเป็นรูปปั้น พ่นน้ำลงสระ ขึ้นอยู่กับการ Design |
ระบบพื้นฐานของสระว่ายน้ำมีอุปกรณ์ดังต่อไปนี้
|
2. เครื่องกรอง (Filter) มีหน้าที่กรองสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง จากน้ำในสระ มีหลายชนิด เช่น
- - - | Cartgridege Filter (เครื่องกรองกระดาษ) จะมีลักษณะเป็นถุงกระดาษ ผ้าหรือโพลีเอสเตอร์ ส่วนใหญ่จะใช้กับบ่อสปา หรือสระน้ำเล็กๆ การทำความสะอาดจะต้องถอดล้างเป็นประจำ ถ้าเครื่องกรองมีลักษณะเป็นผ้าจะต้องใช้ผงกรองเคลือบแผ่นผ้าในการทำความสะอาดหรือ Back Wash ทุกครั้ง Sand Filter (เครื่องกรองทราย) ซึ่งจะมี Option พิเศษ เช่น High-Rate หรือมี Multi Port Value เพื่อความสะดวกในการล้างและทำความสะอาดเครื่องกรองเอง Diatomaceous Earth Filter เป็นเครื่องกรองที่ใช้ผงกรองที่ทำจากฟอสซิล ซึ่งนำมาบดให้ละเอียด ทำให้มีการกรองที่ละเอียดดี แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้เนื่องจากหายากและค่อนข้างยุ่งยากในการดูแลรักษา |
ระบบฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ (Pool Water Hygiene)
ระบบบำบัดน้ำในสระว่ายน้ำที่ใช้อยู่ปัจจุบันนี้ ประกอบด้วย 3 ระบบ คือ
1.ระบบน้ำเกลือ (Salt Water) เป็นระบบที่ดีที่สุด โดยการใช้น้ำเกลือธรรมชาติ (NaCI = Sodium Chloride) มาผ่านขบวนการ Electrolytic Process ของเครื่อง Salt Chlorinator มาทำการฆ่าเชื้อโรคในน้ำโดยเกิด Sodium Hypochloriteและ Sodium Chloride (NaCl) ซึ่งเป็นเกลือธรรมชาติดั้งเดิม และน้ำเกลือเมื่อใช้ฆ่าเชื้อโรคแล้วจะไม่สูญหายไปไหน จะเติมก็ต่อเมื่อมีการทำ Back Wash คือ ล้างเครื่องกรอง หรือฝนตกจนน้ำล้นออกจากสระว่ายน้ำ ดังนั้นการเติมเกลือจะเติมประมาณปีละ 2-3 ครั้ง และน้ำเกลือจะมีความเข้มข้นเพียง 0.3% เท่านั้นเอง (ประมาณครึ่งหนึ่งของน้ำตาคนเรา)ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีสระว่ายน้ำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้นำด้านอุปกรณ์ Swimming Poolจำนวน 90% ใช้ระบบน้ำเกลือ และ 10% เป็นสระว่ายน้ำรุ่นเก่าใช้ระบบคลอรีน ซึ่งรอการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบน้ำเกลือระบบน้ำเกลือ นับเป็นระบบที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ดีอีกด้วย (Mild Salt Water HasTherapeutic Benefits) แต่อย่างไรก็แล้วแต่ระบบเกลือก็ยังต้องดูแลค่า PH ความเป็นกรดและความเป็นด่างของน้ำในสระซึ่งจะมีความเป็นด่างเพิ่มขึ้นเท่านั้น จะไม่มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น จากผลของการใช้น้ำเกลือผ่าน Electrolytic Process
2NaCl + H2O > NaOCl + NaCl+H2+H2O | ||
(ตัวฆ่าเชื้อโรค) (เกลือธรรมชาติ) |
ดังนั้นจึงต้องมีการวัดค่า PH ของน้ำในสระทุก ๆ วัน แต่ปัจจุบันนี้มีเครื่องวัดค่า PH ที่ทำงานโดยอัตโนมัติสามารถปั๊มกรดหรือปั๊มด่างลงไปในสระว่ายน้ำ เพื่อปรับค่า PH มิฉะนั้นไม่ว่าจะใส่คลอรีนมากขนาดไหน คลอรีนก็จะไม่ทำงาน มีแต่จะเหม็นกลิ่นคลอรีนเพิ่มขึ้น
ข้อควรระวัง คลอรีนเป็นสารที่อันตรายต่อร่างกายที่ต้องระวังในการดูแล เพราะเป็นสารเคมี ซึ่งอาจจะทำอันตรายต่อร่างกายและผิวหนังได้ เมื่อได้กลิ่นจะรู้สึกแสบจมูก ถ้าเข้าตาต้องรีบล้างออกหรือพบแพทย์ แต่ถ้าว่ายน้ำนาน ๆ จะทำให้เส้นผมแห้งกรอบและผิวแห้งกร้านได้ คลอรีนต้องเติมทุกวัน เพราะคลอรีนจะใช้ในการย่อยเศษผงใบไม้หรือขี้ไคลสิ่งสกปรกจากร่างกาย และจะถูกทำลายโดยรังสี UV (Ultra Violet) ในแสงแดด และความร้อน ดังนั้นจึงนิยมใส่คลอรีนตอนกลางคืนหลังจากไม่มีคนเล่นน้ำแล้ว เพื่อป้องกันการสิ้นเปลืองของคลอรีน
3. ระบบ Ozone Treatment โดยการผลิตก๊าซโอโซน (Ozone Gas) จากเครื่องอัดอากาศ (O2) ในอากาศให้กลายเป็นก๊าซโอโซน และสัมผัส (Contact) กับน้ำโดยตรง เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็นตัวฆ่าเชื้อโรคที่มีศักยภาพสูงมากใช้ในการดูแลน้ำของระบบ Spa หรือสระว่ายน้ำ โอโซนจะไม่มีสารตกค้าง แต่เมื่อน้ำผ่านโอโซนถูกฆ่าเชื้อโรคเรียบร้อยแล้วน้ำที่สะอาดจะลงสู่สระว่ายน้ำ และในขณะที่น้ำอยู่ในสระประมาณ 3-6 ชั่วโมงนั้น ไม่มีอะไรไปฆ่าเชื้อโรค จนกว่าน้ำกลับมาผ่านโอโซนอีกครั้งดังนั้น เมื่อมีคนนำเชื้อโรคลงในสระว่ายน้ำ ไม่ว่าเชื้อโรคอะไรเชื้อนั้นจะอยู่ในสระปนกับน้ำ ทำให้เกิดโรคติดต่อแก่ผู้เล่นน้ำในสระเดียวกันได้ ซึ่งเชื้อโรคนั้นจะต้องผ่านเครื่องฉีดโอโซนอีกครั้ง เชื้อโรคจึงจะถูกทำลาย ซึ่งบางประเทศจึงมีกฎหมายสำหรับสระว่ายน้ำสาธารณะ (Public Swimming Pool) ห้ามใช้ระบบโอโซนอย่างเดียว ต้องใช้ควบคู่กับระบบอื่น (เช่นใช้คลอรีนหรือน้ำเกลือ) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ
ที่มาPoolandFresh
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
เครื่องคั่วมาตรฐานกรมวิชาการเกษตร
เล็กพริกขี้หนูคั่วใหม่ทุกวันทุกครั้งที่สั่งเมล็ดกาแฟ cowboy coffee แนะนำร้านกาแฟแด่ท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม
แนะนำกาแฟ
COWBOY COFFEE ผลิต และจำหน่ายกาแฟคาวบอย กาแฟคั่วARABICA 100% กิโลกรัมละ 300 .- ARABICA BIEND ระดับการคั่วในรูปแบบมาตรฐานCOWBOYCOFFEE ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ t.0812880752 t.0867299798